dinsdag 5 april 2016

ชีวิตดีขึ้น เมื่อบุญมาถึง

วันคุ้มครองโลก 22 เมษายน พ.ศ.2556

ชีวิตดีขึ้น ......  เมื่อบุญมาถึง 

       "บุญ" ... บุญ ทุกลมหายใจล้วนต้องใช้บุญทั้งสิ้น เรื่องของบุญไม่ใช่เรื่องล้อเล่น โปรดอย่ามองข้ามในเรื่องของบุญ เวลา ๒๔ ชั่วโมง ใช้บุญตลอดไม่มีการหยุดพัก แม้แต่เวลาคุณหลับคุณก็ต้องใช้บุญเช่นกัน ถ้าลองคุณบุญหมดสิ คุณก็จะหลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี ซี้แน่นอน เพราะฉะน้ั้นถ้าคุณประมาท ก็เท่ากับคุณลืมคิดถึงความตาย เพราะคุณจะไม่มีวันรู้เลยว่าบุญของคุณจะหมดเมื่อไร เราต้องหมั่นเตือนตัวเองบ่อยๆ พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยท่านได้ให้การบ้านไว้กับลูกๆ ได้ท่องทุกเช้าเมื่อลืมตาตื่นนอนขึ้นมาว่า " วันนี้ เราโชคดี ที่รอดมาได้ อีกหนึ่งวัน ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย จงมีความสุข อันตัวเรานั้น ตายแน่ ตายแน่ "
        เมื่อยามที่เราหลับตาอำลาโลกไปสู่ปรโลกหน้า ก็ต้องใช้แต่บุญเท่านั้น เพราะชีวิตหลังความตายเขาวัดกันด้วยบุญและบาปเท่านั้น อย่างอื่นที่คุณมีในโลกมนุษย์ มันเคลื่อนย้ายติดตามคุณไปด้วยไม่ได้ ปรโลกหน้าคุณไม่ต้องทำมาหากิน คุณใช้บุญเท่านั้นเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตใหม่ของคุณ ไม่ว่าคุณจะอยู่นรก อยู่สวรรค์ หรืออยู่หนแห่งไหนก็ตาม ต้องการบุญเท่านั้นจริงๆ 
          พวกเราชาววัดพระธรรมกายนั้น ส่วนใหญ่จะเข้าใจเรื่องบุญ และอานิสงส์ของบุญได้กันดีทีเดียวหละ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อเข้าวัดพระธรรมกายไปได้สักระยะหนึ่ง ชีวิตจะมีการเปลี่ยนแปลงให้เจ้าตัวได้เห็น หรือรู้สึกได้ว่าตัวเองและครอบครัวมีการเปล่ี่ยนแปลงไปในทางที่ดีจริงๆ เรื่องความเชื่อเหล่านี้ ใครมาเล่าให้ฟังก็ไม่เข้าใจได้ดีเท่ากับประสบด้วยตัวเองหรอก ให้เราลองสังเกตุดูว่า ญาติพี่น้องลูกหลานคนใกล้ตัวนี่หละ เขาทำงานกันจัง ทำจนแทบจะไม่มีเวลาให้กับพ่อแม่ ญาติพี่น้องและครอบครัว วันเสาร์อาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดตามปกติ แต่พวกเขาก็ไม่ได้หยุดกัน ชีวิตมีแต่หนี้ มีแต่เหนื่อย มีแต่เครียด มีแต่เรื่องวุ่นวายใจให้ต้องปวดหัวในทุกๆ วัน ทำงานเยอะ รายได้มาก แต่พวกเขาก็งงว่าเงินไปไหนหมด เมื่อไรจะได้พักจะได้หายเหนื่อย เราให้คำแนะนำเขาว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่เชื่อ เราชวนเขาไปวัด เขาก็บอกไม่มีเวลา ถ้ามัวแต่ไปวัดจะเอาอะไรกิน เขากลับสอนเราอีก และรับไม่ได้ที่เราทำบุญเยอะ เราก็เลยต้องเงียบ เพราะเรารู้ว่า เขาจะเชื่อเรื่องบุญเขาก็ต้องศึกษาเรื่องบุญเสียก่อน เมื่อความเชื่อมีก็จะทำให้หมดสงสัยในการตรัสรู้ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความศรัทธาในเรื่องบุญมันก็จะตามมา แต่น่าเสียดายที่เขาไม่หันมาสนใจหรือศึกษาความเป็นจริงของชีวิต ไม่ใฝ่รู้ในคำสอนของพระพุทธองค์ว่าท่านทรงสอนเรื่องอะไรบ้างใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ซึ่งในชีวิตตั้งแต่เริ่มเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกเรื่องราวในชีวิตนั้นอยู่ในคำสอนของพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ถ้าเราตั้งใจศึกษาแล้วนำมาปฏิบัติตามอย่างถูกหลักวิชา เราก็จะพบทางสว่างของชีวิต เพราะธรรมของพระพุทธศาสนานั้นเป็นธรรมโอสถ เป็นโอสถขนานพิเศษจริงๆ 
       เรื่องราวในสมัยพุทธกาลนั้น น่าสนใจน่าติดตามทุกเรื่อง ดังเช่นจะขอยกตัวอย่างให้เข้าใจในเรื่องราวของ ชีวิตดีขึ้น เมื่อบุญมาถึง   เหมือนดังชีวิตที่ผกผัน จากคนยากจน อดมื้อกินมื้อ กลับพลิกผันมาเป็นผู้มีสมบัติมากมายในภพชาติปัจจุบัน และยังร่ำรวยข้ามชาติได้ เรื่องมีอยู่ว่า ในอดีตกาลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ มีพระขีณาสพ ๒๐,๐๐๐ รูปเป็นบริวาร ได้เสด็จไปกรุงพาราณสีเพื่อโปรดเหล่าเวไนยสัตว์
       สมัยนั้น ในกรุงพาราณสี มีชายคนหนึ่งชื่อ มหาทุคตะ เพราะความเป็นผู้ยากจนมาก ยากจนกว่าใครทั้งหมดในเมือง บางวันเขาและภรรยาต้องไปขออาหารเหลือเดน ที่ชาวบ้านจะเททิ้งมากินประทังชีวิต เมื่อบัณฑิตผู้มีจิตใจงดงามเดินผ่านมาพบเข้า เกิดความกรุณา อยากให้เขาพ้นจากความยากลำบาก จึงได้บอกเรื่องที่ตนนิมนต์พระไว้ และชักชวนให้มหาทุคตะรับเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพระสักรูปหนึ่ง มหาทุคตะปฏิเสธ เพราะรู้ว่า ตนเองยากจนเข็ญใจขนาดนี้ ต้องขอเขากินแทบทุกวัน จะถวายทานได้อย่างไร แต่บัณฑิตยอดกัลยาณมิตร ก็ไม่ละความพยายาม ยังชักชวนต่อไปว่า
        " สหายเอ๋ย คนในเมืองนี้ ต่างร่ำรวยมั่งคั่ง ไม่ต้องทำงานหนัก มีเงินทองมากมาย เพราะเขาทำบุญมาดี  ส่วนท่านยากจนอยู่เช่นนี้ เพราะไม่ค่อยให้ทาน จงรีบทำบุญเถิด"    

       แม้มหาทุคตะจะจนทรัพย์แต่ไม่อับจนปัญญา ในวันนั้นบุญเก่าตามมาทัน ส่งผลให้เกิดปัญญา เขาคิดว่า "ที่เราอดอยาก ยากจนอยู่ทุกวันนี้ เพราะความตระหนี่ของเราแท้ๆ  ดังนั้น วันนี้ เราจะต้องทำบุญใหญ่ให้ได้" จึงตอบตกลง รับเลี้ยงพระภิกษุ  ๑ รูปทันที ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะหาทรัพย์มาจากไหนเพื่อไปซื้ออาหารมาเลี้ยงพระ แต่อาศัยใจถึงจึงรับไว้ก่อน 
        แต่ เนื่องด้วยยอดกัลยาณมิตร ผู้ที่ทำหน้าที่จัดหาพระภิกษุให้กับศรัทธาสาธุชน ได้ลืมแบ่งพระไว้ให้กับมหาทุคตะ ๑ รูป ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ทำให้มหาทุคตะเสียใจมาก ถึงกับร่ำไห้น้ำตานองหน้าเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้นทันที  บัณฑิตผู้นั้นรู้สึกละอายใจมาก ได้กล่าวขอโทษ และแนะนำว่า "สหายเอ๋ย ยังมีพระผู้ทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่เหลืออยู่อีกองค์หนึ่ง คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าท่านมีบุญ พระองค์ก็คงจะรับอาราธนาเป็นแน่"  ถึงอย่างไรในใจก็ไม่ยอมสิ้นหวัง มุ่งหน้าไปที่ประตูพระคันธกุฎีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

         พระองค์ทรงรับอาราธนา แล้วประทานบาตรแก่มหาทุคตะ มหาทุคตะรับบาตรไปด้วยความ

ดีใจเสมือนหนึ่งได้มหาสมบัติจักรพรรดิ น้ำตาไหลอาบแก้ม ด้วยความปลาบปลื้มปีติยินดี แม้พระ

ราชามหาอำมาตย์ จะอ้อนวอน ขอบาตร หรือต่อรองขอซื้อบาตร ด้วยราคาเป็นแสน เขาก็ไม่ยอม

ขาย เพราะมหาทุคตะเป็นผู้มีปัญญา เห็นว่าบุญเท่านั้นที่จะเป็นสมบัติติดตัวไปได้ ทั้งในภพนี้และ

ภพเบื้องหน้า จึงไม่ยอมยกบุญนี้ให้แก่ใคร



         เมื่อเสร็จภัตกิจได้ตามไปส่งเสด็จที่พระวิหาร ในขณะนั้น สิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่มีใครคาดฝันพลันบังเกิดขึ้น ฝนรัตนะ ๗ ประการ ตกลงมาเต็มบ้าน จนล้นออกมานอกบ้าน ภายในบ้านไม่มีที่ว่างเลย ภรรยาของมหาทุคตะต้องจูงลูกๆ ออกไปยืนอยู่ข้างนอก                                                                       ฝ่ายมหาทุคตะกลับจากวิหารเห็นเหตุอัศจรรย์เช่นนั้น บังเกิดมหาปีติ ขนลุกไปทั่วสรรพางค์ ปลื้มใจว่า ฝนรัตนะ ๗ ประการ ตกเพราะพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ รวมทั้งบุญญานุภาพที่ตัวได้ทำในวันนี้      
       จากเรื่องราวนี้ จะเห็นได้ว่า บุญ คือที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด บุญ อยู่เบื้องหลังความสุขความสำเร็จในประการทั้งปวง คนจะมีทรัพย์ได้เพราะบุญหนุนนำ คนที่ร่ำรวยในวันนี้ เพราะบุญเก่าหนุนนำและในปัจจุบันไม่เกียจคร้าน หมั่นทำกิจการงาน หาทรัพย์มาได้ก็แบ่งทรัพย์ออกเป็นสัดส่วน ไม่สุรุ่ยสุร่าย ส่วนคนที่ยากจนข้นแค้นก็เพราะในอดีตเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ทำทาน เสียดายทรัพย์จะหมดเปลือง จึงทำให้ต้องเป็นคนไร้ทรัพย์ ถึงแม้จะทำงานหนัก รายได้ดี แต่ทรัพย์นั้นก็ไม่อยู่ด้วย มีแต่ทางให้ทรัพย์ต้องหมดไป เพราะไม่มีบุญเก่าและบุญใหม่มารองรับนั่นเอง     
          ดังนั้นเมื่อทุกท่านได้รู้ถึงความสำคัญของบุญกันแล้ว ก็ขอให้รีบหันมาสั่งสมบุญกันเถอะ เมื่อใดที่ท่านทำบุญ พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยได้ให้หลักวิชาไว้ว่า " ก่อนเจ็ด หลังเจ็ด "  คือก่อนทำบุญเจ็ดวันให้รักษาใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส อย่าให้ใจขุ่นมัว อย่าให้มีสิ่งใดมากระทบใจที่ได้ตั้งไว้แห่งความเป็นบุญเชียว ส่วนหลังเจ็ดนั้น หมายถึงวันที่ได้ทำบุญก็ต้องปลื้ม รักษาใจให้ใส ให้ตลอดต่อเนื่องไปให้ได้ครบเจ็ดวันทีเดียว และพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยของพวกเรายังได้ให้หลักวิชาเกี่ยวกับการทำทานให้ได้บุญมาก ต้องพร้อมด้วยองค์ ๓ คือ  
   
             ๑.วัตถุทานบริสุทธิ์ ของที่จะให้ทานต้องเป็นของที่ตนได้มาด้วยความสุจริตชอบธรรม ไม่ได้คดโกง หรือเบียดเบียนใครมา
         ๒. เจตนาบริสุทธิ์ คือมีเจตนาเพื่อกำจัดความตระหนี่ของตน ทำเพื่อเอาบุญ ไม่ใช่เอาหน้า เอาชื่อเสียง ไม่ใช่เอาความเด่นความดัง ความรัก และจะต้องมีเจตนาบริสุทธิ์ทั้ง ๓ ขณะ คือ 
  • ก่อนให้ ก็มีใจเลื่อมใส ศรัทธาเป็นทุนเดิม เต็มใจที่จะทำบุญนั้น
  • ขณะให้ก็ตั้งใจให้ ให้ด้วยใจที่เบิกบาน
  • หลังจากให้ก็มีใจแช่มชื่น ไม่นึกเสียดายสิ่งที่ให้ไปแล้ว
              ๓.บุคคลบริสุทธิ์ คือ เลือกให้แก่ผู้รับที่เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ มีความสงบ เรียบร้อย ตั้งใจ
ประพฤติธรรม เป็นต้น

      สำหรับผู้ให้ทาน คือตัวเราเองก็ต้องมีศีลบริสุทธิ์จึงจะได้บุญมาก จะเห็นว่าทุกครั้งที่เราจะถวายสังฆทาน พระท่านจะให้ศีลก่อน เพื่อว่าอย่างน้อยที่สุดในขณะนั้น เรายังมีศีล ๕ ครบ จะได้เกิดบุญกุศลเต็มที่นั่นเอง
      ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจเลยค่ะ ว่าทำไมพวกเราถึงรักหลวงพ่อธัมมชโยมาก และรักวัดพระธรรมกายมากเช่นกัน ก็เพราะหลวงพ่อธัมมชโยท่านสอนให้พวกเรารู้ถึงคุณค่าและความสำคัญของบุญ ให้แนวทางในการรักษาใจให้ได้บุญเต็มทีึ่ บอกเทคนิคที่จะทำให้บุญไม่ตกหล่น รู้หลักวิชาทั้งสามอย่างว่ามีขั้นตอนอย่างไร 
          ทีนี้หลายคนคงหายสงสัยแล้วใช่ไหมคะว่าทำไม พระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยของพวกเราถึงหน้าใสใจใส และลูกๆ ของท่านทั่วโลกถึงหน้าเด้งกัน และทำไมเข้าวัดพระธรรมกายแล้วจึงอยู่ยาวนานไม่อยากจากไปไหน และที่หลายท่านเข้าใจผิดกันมาตลอดว่าวัดพระธรรมกายมีแต่เศรษฐี ไม่ต้อนรับคนจนนั้น ก็โดยส่วนมากลูกๆ ของหลวงพ่อก็จนกันมาก่อนเป็นส่วนใหญ่ แต่เพราะรู้หลักวิชาที่จะทำตัวทำใจให้ใส และรวยไปด้วยหัวใจของนักสู้ เราสะสมแต่บุญและความดี จึงเกิดเป็นอานิสงส์ของบุญ ทำให้ชีวิตมีการเปลี่ยแปลงไปในทางที่ดีขึ้นทุกคน ก็นี่แหละคือ หัวข้อของ "ชีวิตดีขึ้น เมื่อบุญมาถึง" ทีนี้คุณๆ หายสงสัยวัดพระธรรมกายและหายสงสัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยของพวกเรากันหรือยังล่ะคะ?